ปัจจุบันหุ้น HMPRO เทรดที่ PE ปี 2567 ระดับต่ำสุดในกลุ่มพาณิชย์ที่ 17 เท่า (เทียบกับ PE ปี 2567 เฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ที่ 23 เท่า) ต่ำกว่าระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ย 10 ปีที่ 22 เท่า สะท้อนถึงความคาดหวังระดับต่ำของตลาดต่อ SSS growth ของบริษัท (-7.3% YoY ใน 2Q67 และ -6.5% YoY ใน 3Q67TD) ด้วยบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แนวโน้มที่จะมีการอนุมัติงบประมาณปี 2568 ได้ตามกำหนด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ที่กำลังจะออกมา ทำให้เราคาดว่า SSS ผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดไปแล้ว กำไร 3Q67 มีแนวโน้มที่จะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ โดยกำไรจะอยู่ในระดับทรงตัว YoY เนื่องจาก SSS ที่หดตัวลงใน 3Q67TD จะถูกชดเชยโดยการขยายสาขาและมาร์จิ้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น จากนั้นกำไรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดของปีนี้ใน 4Q67 (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ HMPRO โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC ที่ 7.1% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 12 บาท SSS ที่หดตัวลงจะถูกชดเชยโดยการขยายสาขาใน 2H67 SSS ของร้านโฮมโปรหดตัวลง 7.3% YoY ใน 2Q67 และ 6.5% YoY ใน 3Q67TD จาก: 1) บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ซบเซาและการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐที่ล่าช้า; 2) ผลกระทบจากการซ่อมถนน (สาขาราชพฤกษ์) และการเปิดสาขาในพื้นที่ใกล้เคียงกันก่อนที่จะมีการย้ายที่ตั้งสาขา (สาขาบางบัวทองและรัตนาธิเบศร์) ซึ่งทำให้ SSS ลดลงราว 1% YoY สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2567 เราคาดว่า SSS จะปรับตัวดีขึ้น โดยจะลดลง YoY ในอัตราที่ชะลอตัวลง ด้วยฐาน SSS ที่เริ่มเป็นฐานปกติของปีก่อน จากผลกระทบจากการซ่อมถนน (สาขาราชพฤกษ์) ณ สิ้น 4Q67 และการปิดสาขารัตนาธิเบศร์เนื่องจากหมดสัญญาเช่า (ย้ายมาขายที่สาขาบางบัวทอง) ณ สิ้น 3Q67 นอกจากนี้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะช่วยกระตุ้นให้ SSS ปรับตัวดีขึ้นจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้น รวมถึงแนวโน้มที่จะมีการอนุมัติงบประมาณปี 2568 (ต.ค. 2567-ก.ย. 2567) ได้ตามกำหนด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ที่กำลังจะออกมา รายงานข่าวระบุว่ารัฐบาลใหม่กำลังพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (1.45 แสนลบ.) ซึ่งเป็นมาตรการเร่งด่วนที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (4.5 แสนลบ.) โดย HMPRO จะได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากกำลังซื้อที่ดีขึ้นต่อการบริโภคโดยรวมของประเทศไทย ซึ่งเรายังไม่ได้นำ upside ของยอดขายมารวมไว้ในประมาณการของเรา การขยายสาขา ในปี 2567 HMPRO ยังคงเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่ม 7 สาขา (พื้นที่ขาย +8% YoY): โฮมโปร 5 สาขา และเมกาโฮม 2 สาขา โดย 3 สาขาเป็นร้านแบบไฮบริด (เปิดโฮมโปรกับเมกาโฮมในพื้นที่เดียวกัน) โดยจะเร่งขยายสาขาในช่วง 2H67 จาก 2 สาขา (ลำพูน และอุดรธานี) ใน 2Q67 เป็น 3 สาขาใน 3Q67 (หนองคาย แม่สอด และระยอง) และ 2 สาขา (ภูเก็ต และเชียงใหม่) ใน 4Q67 EBIT margin จะดีขึ้นใน 2H67 อัตรากำไรขั้นต้น มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว YoY จากการมียอดขายสินค้ามาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้นทั้งจากร้านโฮมโปรและร้านเมกาโฮม (สัดส่วนยอดขายสินค้า private brand ต่อยอดขายรวมเพิ่มขึ้นเป็น 21% ทั้งจากร้านโฮมโปรและร้านเมกาโฮมในปี 2567 เทียบกับ 20.3% สำหรับร้านโฮมโปร และ 20.9% สำหรับร้านเมกาโฮม ใน 1H67 และอำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์ที่มากขึ้น) ซึ่งจะช่วยชดเชยสัดส่วนยอดขายตามรูปแบบสาขาที่ดีน้อยลงจากการมียอดขายจากร้านเมกาโฮมที่ให้มาร์จิ้นต่ำเพิ่มมากขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขาย คาดว่าจะลดลง YoY ด้วยค่าสาธารณูปโภคที่ลดลงตามค่าไฟที่ลดลงและการติดตั้งหลังคาโซลาร์ รวมถึงฐานสูงของค่าใช้จ่ายในการขยายสาขาในปีก่อน (เปิดสาขาใหม่ 11 สาขาในปี 2566 เทียบกับ 7 สาขาในปี 2567) และการเปิดร้านแบบไฮบริดซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่ำกว่าร้านแบบ standalone (ใช้พื้นที่จอดรถ เคาน์เตอร์แคชเชียร์ พนักงาน outsource ร่วมกัน) เพิ่มมากขึ้น ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนพร้อมกับการบริหารจัดการคุณภาพ (E) แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S) | ||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก HMPRO240823_T
|