ตลาด “โลกสวย” เกินไปหรือไม่ เป็นคำถามที่นักลงทุนไม่ใช่แค่ต้องหาคำตอบ แต่ต้องวางกลยุทธ์สำหรับไตรมาสนี้ไปถึงปีหน้าไปด้วย ในมุมมองของผม CAUTION คือคำที่อธิบายโลกลงทุนได้ดี และ 4 ตัวอักษรแรกสำคัญที่สุด
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก
ตลาด “โลกสวย” เกินไปหรือไม่ เป็นคำถามที่นักลงทุนไม่ใช่แค่ต้องหาคำตอบ แต่ต้องวางกลยุทธ์สำหรับไตรมาสนี้ไปถึงปีหน้าไปด้วย ในมุมมองของผม CAUTION คือคำที่อธิบายโลกลงทุนได้ดี และ 4 ตัวอักษรแรกสำคัญที่สุด
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก
ในมุมมองของผม นโยบายกระตุ้นที่หลากหลาย ช่วยหนุนอารมณ์ตลาดได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นหรือไม่ อยู่ที่ความเชื่อมั่นของทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุน ตัวแปรสำคัญที่สุดของจีน หนีไม่พ้น GDP ที่ต้องมีเห็นโอกาสเติบโตถึงเป้า 5% เป็นอย่างน้อย นอกจากนั้นก็ต้องเห็นแนวการปรับมุมมองการเติบโตให้ช้าลงโดยที่เศรษฐกิจไม่ถดถอย
ด้วย Valuation ที่สูงในปัจจุบัน ธีม AI จะได้ไปต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอัตราการทำกำไร (Profit Margin) ของบริษัทที่เกี่ยวข้องที่ต้องสูงกว่า 15% เป็นอย่างน้อย
ในกลุ่ม Tech ที่ไม่น่าเป็นห่วงมีเพียง Software (เช่น Microsoft, Google) ที่แค่ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มตามปริมาณความต้องการของลูกค้า
แตกต่างจาก Hardware Sector (เช่น Tesla, Apple) ที่ Margin ต่ำเพียง 15-25% เสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไรที่สุด ถ้าต้องมีการลงทุนเพิ่มที่มากกว่ารายรับ
และที่ต้องลุ้นหนักคือกลุ่ม Semiconductor (เช่น NVIDIA, AMD) การเติบโตต่อจากนี้อาจมีอุปสรรคจากเงินลงทุนเริ่มต้นที่สูง การปรับสายพานการผลิตหลบสงครามการค้า และการแข่งขันที่เข้มข้น Margin มีโอกาสลดลงจากระดับ 30-40% ลงไปเหลือ 10-20%
สหรัฐมีหลายเรื่องที่ต้องติดตาม ทุกเรื่องมีความสำคัญกับตลาดการเงินสูง
แต่ถ้าต้องจับตาเพียงเรื่องเดียว คงต้องเป็นจุดจบของดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย
กรณีฐาน Harris ชนะการเลือกตั้งได้รัฐบาลผสม Fed จะสามารถลดดอกเบี้ยลงอย่างระมัดระวังไปที่ 3.5% ได้ในปี 2024 ทำให้ตลาดการเงินมีเสถียรภาพ ผู้บริโภคกลับมาใช้จ่าย
กรณีที่ดีที่สุด คาดว่าจะเกิดขึ้นถ้าเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะเสี่ยงถดถอยเฉียบพลัน ทำให้ Fed ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายจากการควบคุมเสถียรภาพ ไปเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจทันที ดอกเบี้ยนโยบายจะสามารถลดลงไปได้ถึง 2.5%
ที่ต้องระวังคือกรณี Trump ชนะการเลือกตั้งและกลับมาใช้นโยบายลดภาษีเงินได้ พร้อมกับขึ้นภาษีการค้า อาจส่งผลให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงจน Fed ต้องหยุดแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงไว้ที่ระดับ 4.5% เพื่อควบคุมเศรษฐกิจ
นโยบายการค้ามีความสำคัญมากในปี 2025 เพราะมีความเกี่ยวข้องทั้งกับจีน สหรัฐ และ AI Supply Chain พร้อมกัน
ผมเลือกที่จะใช้ Dollar Index (DXY) เป็นตัวชี้วัดความตึงเครียดด้านการค้า เพราะหากสหรัฐขู่ว่าจะเพิ่มกำแพงภาษีหรือคว่ำบาตร เงินของประเทศคู่ค้ามักอ่อนค่าก่อน เพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้าม ถ้านโยบายการค้าเสรีกลับมา ก็ควรเห็นสกุลเงินประเทศคู่ค้าแข็งค่า DXY ปรับตัวลง
ปัจจุบัน DXY อยู่ที่ระดับ 103จุด กรณีดีที่สุดหากนโยบายการค้าเป็นมิตรกับนานาชาติ และไม่มีความตึงเครียดทางการค้าเพิ่มขึ้น DXY อาจลดลงมาที่ 90-95จุด ส่วนกรณีเสี่ยงจะเกิดขึ้นถ้าความตึงเครียดทางการค้าทวีความรุนแรงทั่วทั้งโลก คาดว่าจะเห็น DXY กลับขึ้นไปยืนเหนือ 105จุดเป็นอย่างน้อย
เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกธีม C.A.U.T.ION ผมมองว่านักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์ลงทุนให้เหมาะสมได้หลายแบบ
(1) หุ้นจีน ควรกลับมามีที่ยืนในพอร์ตของเราในสัดส่วน 10-15% ตามความเชื่อมั่นของแต่ละท่าน
(2) กลุ่ม AI สามารถคงสัดส่วนลงทุน 10-15% ไว้ได้ แค่เน้นไปที่บริษัทที่มีศักยภาพในการทำกำไรอย่างยั่งยืน แทนที่กลุ่มเติบโตสูงอย่าง Semiconductor